วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ สากล ไทย และวิธีการทางประวัติศาสตร์



ประวัติศาสตร์สากลในความหมายทั่วไป หมายถึง ประวัติศาสตร์ของผู้คนและชาติต่าง ๆ ในโลกตะวันตก (Western World) ซึ่งได้แก่ ผู้คนและชาติในทวีปยุโรป และอเมริกา ประวัติศาสตร์สากลมีช่วงเวลาที่ยาวนาน ย้อนไปเป็นเวลาหลายพันปี เพื่อความสะดวกในการศึกษา นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งเป็นช่วงเลาที่มีลักษณะร่วมกัน เรียกเป็นสมัย คือสมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ สมัยปัจจุบัน หรือร่วมสมัย นัก ประวัติศาสตร์สากล ได้พัฒนาวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์มาเป็นเวลาประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว เพื่อให้การศึกษาประวัติศาสตร์มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ ทำให้เรารู้และเข้าใจ เรื่องราวทั้งหลายของผู้คนในอดีตได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการเข้าใจปัจจุบันและคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตได้อย่างมีเหตุผล 
*******************************************************การนับและเทียบศักราชสากลและไทยในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มักนิยมใช้การระบุช่วงเวลาเพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ การนับเวลาแบบไทย และการนับเวลาแบบสากลการนับเวลาแบบไทยในประวัติศาสตร์ไทย จะมีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ โดยมีการอ้างอิงถึงการนับช่วงเวลาแตกต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่นมีดังนี้
1.พุทธ ศักราช(พ.ศ.) เป็นการนับเวลาทางศักราชในกลุ่มผู้นับถือพระพุทธ ศาสนา โโยเริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ให้นับเป็นพุทธศักราชที่1 ทั้งนี้ประเทศไทยจะนิยมใช้การนับเวลาแบบนี้ โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนมาเป็ฯที่แพร่หลายและระบุใช้กันอย่างเป็นทางการในสมัยพระบาท สมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6) ในปีพุทธศักราช 24552. มหาศักราช(ม.ศ.) การ นับศักราชนี้จะพบในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยสุโขทัย และอยุธยาตอนต้นโดยคิดขึ้นจากกษัตริย์ของอินเดีย (พระเจ้ากนิษกะ) ซึ่งพ่อค้าอินเดียและพวกพราหมณ์นำเข้ามาเผยแพร่ในเวลาติดต่อการค้ากับไทยใน สมัยโบราณ จะมีปรากฎในศิลาจาลึกเพื่อบันทึกเรื่องราวเหตุกาณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าปีมหาศักราชที่1 จะตรงกับปีพุทธศักราช 6213.จุลศักราช ( จ.ศ.) จัดตั้งขึ้นโดยสังฆราชมนุโสรหัน แห่งอาณาจักรพุกาม เมื่อปีพุทธศักราช 1181โดยไทยรับเอาวิธ๊การนับเวลานี้มาใช้ในสมัยอยุธยา เพื่อการคำนวณทาง โหราศาสตร์ ใช้บอกเวลาในจารึก ตานาน พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ต่างๆ จนมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่5 ) จึงเลิกใช
4.รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ) การนับเวลาแบบนี้พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว(รัชกาลที่5)ทรงตั้งขึ้ ในปีพุทธศักราช2432 โดยกำหนดให้กำหนดให้นับปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทะยอดฟ้าจฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช 2325 เป็นรัตนโกสินทร์ศกที่1 และให้เริ่มใช้ศักราชนี้ในทางราชการตั้งแต่วันที่1 เมษายน ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) เป็นต้นมา
การ นับเวลาแบบสากล1. คริสต์ศักราช (ค.ศ. )
เป็นการนับเวลาทางศักราชของผู้นับถือ ศาสนาคริสต์ ซึ่งถือเป็นการนับเวลาที่นิยมใช้กันมาทั่วโลก โดยค
เป็นการนับเวลาทางศักราชของผู้นับถือ ศาสนาคริสต์ ซึ่งถือเป็นการนับเวลาที่นิยมใช้กันมาทั่วโลก โดยคริสต์ศักราชที่1 เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเยซูคริสต์ประสูต(ตรงกับ พ.ศ.543)และถือระยะเวลาที่อยู่ก่อนคริสต์ศักราชลงไป จะเรียกว่าสมัยก่อนคริสต์ศักราชหรือก่อนคริสต์กาล2. ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) เป็นการนับเวลาทางศักราชของผู้นับถือศาสนา อิสลามโดยอาศัยปีที่ ท่านนบีมูฮัมหมัดได้อพยพจากเมืองเมกกะไปยังเมืองมาดิ นา เป็นปีเริ่มต้นของศักราชอิสลามซึ่งตรงกับวันที่ 6 กรกฏาคม ค.ศ. 622อย่างไรก็ตาม การนับศักราชแบบต่างๆ ในบางครั้งบางเหตุการณ์ก็ไม่ได้ระบุความชัดเจนไว้ แต่อาจกล่าวการนับเวลาอย่างกว้างๆ ไว้ ซึ่งนิยมเรียกกันใน 3 รูปแบบ ดังนี้ทศวรรษ (decade) คือ รอบ 10 ปี นับจากศักราชที่ลงท้ายด้วย 1 ไปจนถึงศักราชที่ลงท้ายด้วย 0 เช่น ทศวรรษที่ 1990 ตามคริสต์ศักราช หมายถึง ค.ศ.1991-2000ศตวรรษ (century) คือ รอบ 100ปี นับจากศักราชที่ลงท้าย 1 ไปจนครบ 100ปีในศักราชที่ลงท้สยด้วย00 เช่น พุทธศตวรรษที่26 คือ พ.ศ.2501-2600สหัสวรรษ (millenium) คือ รอบ 1000 ปี ศักราชที่ครบแต่ละสหัสวรรษจะลงท้ายด้วย000 เช่นสหัสวรรษที่ 2 นับตามพุทธศักราช คือ พ.ศ. 1001-2000หลักเกณฑ์การเรียบเทียบ ศักราชในระบบต่างๆการ นับศักราชที่แตกต่าง กัน จะทำให้เกิดความสับสนและไม่ชัดเจนในการศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ ดั้งนั้น การเปรียบเทียบศักราชให้เป็นแบบเดียวกัน จะช่วยให้สามารถศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้เข้าใจมากขึ้น รวมทั้งทำให้ทราบว่าในช่วงศักราช หรือช่วงเวลาเดียวกันในแต่ละภาคของโลก เกิดเหตุการณณ์ สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ อะไรบ้าง ซึ่งการเปรียบเทียบศักราชสามารถกระทำได้ง่ายๆ โดยนำตัวเลขผลต่าง ของอายุศักราชแต่ศักราชมาบวกหรือลบกับศักราชที่เราต้องการตามหลักเกณฑ์ดัง นี้
 **********************************************************หลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติ ศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล-แบ่งต่ามความเจริญทาง อารยธรรมของมนุษย์-แบ่งตามการเริ่มต้นของ เหตุการณ์สำคัญ-แบ่งตามชื่อจักรวรรดิ หรืออาณาจักรที่สำคัญที่เคยรุ่งเรือง-แบ่งตามราชวงศ์ที่ปกครอง ประเทศ-แบ่งตามการตั้งเมืองหลวง

 การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากลสมัยก่อนประวัติศาสตร์-ยุคหินเก่า มนุษย์ใช้เครื่อง มือทำด้วยหินหยาบ ๆ อาศัยอยู่ในถ้ำ ล่าสัตว์-ยุคหินใหม่ มนุษย์ใช้เครื่องมือหินที่มีการขูด แต่ง ตั้งถิ่นฐานเพราะปลูก เลี้ยงสัตว์-ยุคโลหะ มนุษย์ใช้เครื่อง มือที่ทำด้วยโลหะ เช่น สำริด เหล็ก อยู่เป็นชุมชน
 สมัยประวัติศาสตร์-สมัยโบราณเริ่มประมาณ ๓,๕๐๐ ปีก่อน ค.ศ.เมื่อมนุษย์ประดิษฐ์อักษรถึง ค.ศ. ๔๗๖ เมื่อจักรวรรดิโรมันสิ้นสุด เพราะการรุกรานของพวกอนารยชนเยอรมันเริ่ม ค.ศ. ๔๗๖ หลังสิ้นสุดจัรวรรดิโรมัน จนถึง ค.ศ.๑๔๙๒ เมื่อคริสโตเฟอร์ดโคลัมมบัส ค้นพบทวีปอเมริกา
-สมัยกลางเริ่ม ค.ศ. ๔๗๖ หลังสิ้นสุดจัรวรรดิโรมัน จนถึง ค.ศ.๑๔๙๒ เมื่อคริสโตเฟอร์ดโคลัมมบัส ค้นพบทวีปอเมริกา-สมัยใหม่ เริ่มจาก ค.ศ. ๑๔๙๒ เมื่อยุโรปขยายอำนาจและอิทธิพลไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก ทำให้มีผลต่อความเจริญของโลกมัยใหม่ จนถึง ค.ศ.๑๙๔๕ เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒
-สมัยปัจจุบันหรือร่วมสมัยเริ่มจาก ค.ศ.๑๙๔๕ จนถึงเหตุการณ์และความเจริญปัจจุบัน มีผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ยึดถือหลักเกณฑ์ของประวัติศาสตร์สากล แบ่งเป็น สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทย และสมัยประวัติศาสตร์ไทยสมัยประวัติศาสตร์ไทยแบ่งตามสมัยโบราณหรือสมัยก่อน สุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๘๐ ถึง พ.ศ. ๑๗๙๒สมัยสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึง ๒๐๐๖สมัยอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึง ๒๓๑๐สมัยธนบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๐ ถึง ๒๓๒๕สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ถึง ปัจจุบัน*******************************************
การ เทียบยุคสมัยสำคัญระหว่างประวัติศาสตร์สากลกับไทย

ตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญที่แสดงความ สัมพันธ์และความต่อเนื่องของกาลเวลาประวัติศาสตร์สากลเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สากละนำมาเป็นตัวอย่าง คือ ยุคจักรวรรดินิยม เกิดขึ้นมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และพลังทางสังคม ซึ่งทำให้ประเทศในทวีปยุโรปมีอำนาจเข้มแข็งมีความก้าวหน้า ทางเศรษฐกิจ มีความเจริญรุ่งเรือง แต่การมีอำนาจและความมั่นคงดังกล่าวเกิดขึ้นมาเพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรม และยุคจักรวรรดินิยม สิ้นสุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ซึ่งทำให้มหาอำนาจ ทั้งหลายหยุดการล่าอาณานิคม แต่อาณานิคมทั้งหลายที่เป็นอยู่ก็ยังคงเป็นอาณานิคมต่อมาอีกหลายปี หลายชาติ เริ่มเรียกร้องเอกราช และส่วนใหญ่ได้เอกราชคืนภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ประวัติศาสตร์ไทยเหตุการณ์สำคัญใน ประวัติศาสตร์ไทย ที่นำมาเป็นตัวอย่าง คือ ยุคการปรับปรุงประเทศอยู่ในช่วง พงศ. 2394-2475 หรือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว ระหว่างนี้มีการปรับปรุงและปฏิรูปประเทศทุกด้านทั้งการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ
********************************************* 
 
ความ หมายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ 
ในการสืบค้น ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีอยู่หลายวิธี เช่น จากหลักฐานทางวัตถุที่ขุดค้นพบ หลักฐานที่เป็นการบันทึกลายลักษณ์อักษร หลักฐานจากคำบอกเล่า ซึ่งการรวบรวมเรื่องราวต่างๆทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ การรวบรวม พิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์และตีความจากหลักฐานแล้วนำมาเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ เพื่ออธิบายเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีตว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ในอดีตนั้นได้เกิดและคลี่คลายอย่างไร ซึ่งเป็นความมุ่งหมายที่สำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ขั้น ตอนที่ การกำหนดเป้าหมายเป็น ขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร อดีตส่วนไหน สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการศึกษา นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยการอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั้นๆมาก่อนบ้าง ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาก็คือทำไมและเกิดขึ้น อย่างไรขั้น ตอนที่ การรวบรวมข้อมูล หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร มีทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูมิ) การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานชั้นรอง แต่หลักฐานชั้นรองอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่ายกว่าหลักฐานชั้นรอง ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่างๆดังกล่าวข้างต้น ควรเริ่มต้นจากหลักฐานชั้นรองแล้วจึงศึกษาหลักฐานชั้นต้น ถ้าเป็นหลักฐานประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ควรเริ่มต้นจากผลการศึกษาของ นักวิชาการที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ก่อนไปศึกษาจากของจริงหรือสถานที่จริง การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดีควรใช้ข้อมูลหลาย ประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ศึกษาต้องการศึกษาเรื่องอะไร ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลที่ดีจะต้องจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ ทั้งข้อมูลและแหล่งข้อมูลให้สมบูรณ์และถูกต้อง เพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือขั้น ตอนที่ การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ คือ การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอนทั้งสองจะกระทำควบ คู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้องอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภายนอกประกอบด้วยการ วิพากษ์หลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอก
การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามีความน่าเชื่อถือ เพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวหลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐาน ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสกัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือออกไปการวิพากษ์ ข้อมูลหรือวิพากษ์ภายใน
การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความหมายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อประเมินว่าน่าเชื่อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการประเมินหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งที่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอยู่ หากนักประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดพลาดจากความ เป็นจริง
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ คือ การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอนทั้งสองจะกระทำควบ คู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้องอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภายนอกประกอบด้วยการ วิพากษ์หลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอก การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามีความน่าเชื่อถือ เพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวหลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐาน ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสกัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือออกไปการวิพากษ์ ข้อมูลหรือวิพากษ์ภายใน การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความหมายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อประเมินว่าน่าเชื่อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการประเมินหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งที่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอยู่ หากนักประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดพลาดจากความ เป็นจริงขั้นตอนที่ การตีความหลักฐาน การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร โดยดูจากลีลาการเขียนของผู้บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยทั่วไปของประดิษฐกรรม ต่างๆเพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริงซึ่ง อาจแอบแฟงโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายามจับความหมายจากสำนวนโวหาร ทัศนคติ ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้เขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย เพื่อทีจะได้ทราบว่าถ้อยความนั้นนอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้ว ยังมีความหมายที่แท้จริงอะไรแฝงอยู่ขั้น ตอนที่ การสังเคราะห์และการวิเคราะห์ ข้อมูลจัด เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเรียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้ ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้น
ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ่านการตีความมาวิเคราะห์ หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภทของเรื่อง โดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ด้วยกัน รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดมาสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วยกัน คือ เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป็นเหตุการณ์พื้นฐาน หรือเป็นเหตุการณ์เชิงวิเคราะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการศึกษา
ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ่านการตีความมาวิเคราะห์ หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภทของเรื่อง โดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ด้วยกัน รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดมาสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วยกัน คือ เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป็นเหตุการณ์พื้นฐาน หรือเป็นเหตุการณ์เชิงวิเคราะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่มา: http://www.pramot.com/stuweb/m4_249/dee/home.htmhttp://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=361744&chapter=28


หลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.1.3

วิเคราะห์เปรียบเทียบหลักฐานทางประวัติศาสตร์และความแตกต่างของหลักฐานในการศึกษา
สาระการเรียนรู้
- หลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

     หลักเกณฑ์การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ เพื่อความสะดวกในการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในอดีต นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 สมัย โดยอาศัยหลักฐาน ได้แก่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ตัวหนังสือแต่ใช้การเล่าเรื่องราวหรือหลักฐานทางโบราณคดี และสมัยประวัติศาสตร์เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ใช้ตัวหนังสือในการบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในสังคม ปัจจุบันองค์การ (UNESCO) การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้กำหนดยุดสมัยเพิ่มขึ้นมาอีก 1 สมัย คือ สมัยกึ่งประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นยุคที่ยังไม่รู้จักใช้ตัวอักษรบันทึกเรื่องราว แต่ผู้คนจากสังคมอื่นได้เดินทางผ่านและได้บันทึกเรื่องราวถึงผู้คนเหล่านั้นไว้

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
    การศึกษาเรื่องราวในสมัยก่อนประวัติศาสตร์อาศัยการสันนิษฐานและการตีความจากหลักฐานโบราณคดีและหลักฐานทางสภาพแวดล้อม ยุคก่อนประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 ยุค ได้แก่ ยุคหิน และยุคโลหะ
ยุคหิน
    หลักฐานที่ค้นพบแสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้าด้านวัฒนธรรมของมนุษย์ค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างช้า ๆ ตามหลักฐานของวัตถุที่มนุษย์ใช้ในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ และอาวุธ ซากสัตว์ที่เหลืออยู่ทำให้เราแบ่งยุคสมัยของมนุษย์เป็นลำดับขั้น คือ ยุคหินเก่า (Paleolithic) ระยะเวลา 50,000 – 100,000 ปีมาแล้ว มนุษย์นำเอาหินกะเทาะมาทำเครื่องมืออย่างหยาบ ๆ จากนั้นพัฒนาการมีการปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ มีการสลักหินทำหม้อไห มนุษย์ได้พัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยหินขัด นำสัตว์มาเลี้ยง เลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า ปลูกพืชบางอย่าง เมื่อทำไร่ ทำนา ก็เกิดเป็นหมู่บ้าน ทำเครื่องหัตถกรรม รู้จักทำเครื่องปั้นดินเผา เป็นหม้อ จาน กระสุนดินเผา มีการประดิษฐ์ลูกศร ฉมวก ใบหอก จากกระดูก ใช้เปลือกหอยมาทำใบมีด
ยุคโลหะ (Metals)
    ระยะเวลา 6,000 ปีมาแล้ว ในยุตนี้รู้จักทำเครื่องมือเครื่องใช้จากโลหะแทนการใช้หิน ยุคโลหะแบ่งย่อยเป็นยุคที่สำคัญ ได้แก่
ยุคสำริด
    ยุคนี้มีการนำทองแดงมาทำสิ่งต่าง ๆ โดยผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก เป็นสำริด ได้แก่ การประดิษฐ์กลองมโหระทึก ขวาน หอก นับได้ว่ามีการค้นหาโลหะให้มีคุณสมบัติดีขึ้น การผสมกันของโลหะสองชนิดทำให้มีคุณภาพดี และยังทำเครื่องประดับ เช่น กำไล เป็นต้น
ยุคเหล็ก
ยุคนี้เริ่มมีการพัฒนาการของการถลุงเหล็กเพื่อเอาเหล็กมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งแข็งแกร่งทนทานกว่าสำริด การหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่าการหลอมทองแดงและต้องมีความรู้ในเรื่องการสร้างเตาให้มีความร้อนมากพอ ขั้นแรกของการผลิตสิ่งของทำด้วยเหล็ก คงใช้วิธีตีเหล็กให้ไดรูปแบบที่ต้องการขณะร้อน ไมใช่วิธีหลอมเหล็ก นอกจากนี้ยังใช้เหล็กทำเป็นอาวุธ เครื่องมือเกษตรกรรม เช่น เสียม จอบ

สมัยประวัติศาสตร์
    สมัยประวัติศาสตร์ หมายถึง สมัยที่มนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์ตัวอักษร เมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว แบ่งออกเป็นสมัยต่าง ๆ คือ
1. สมัยโบราณ ในสมัยนี้มนุษย์ได้ตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองเป็นแว่นแคว้น มีตัวอักษร มีอารยธรรมสูงขึ้นแบบคนเมือง มีวัฒนธรรมศาสนาที่ซับซ้อนกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์เหล่านี้ตั้งบ้านเมืองอยู่ตามแหล่งอุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ ของโลก เช่น เมโสโปเตเมีย (ลุ่มแม่น้ำไทกรีส – ยูเฟรตีส มีอาณาจักรที่สำคัญ เช่น สุเมเรียน บาบิโลเนียน อัสซีเรีย ฟินีเซีย เปอร์เซีย เป็นต้น) อินเดีย (ลุ่มแม่น้ำสินธุ คงคาและพรหมบุตร) จีน (ลุ่มแม่น้ำฮวงโห แยงซีเกียง) แอฟริกา (ลุ่มแม่น้ำไนล์ มีอาณาจักรอียิปต์) อเมริกาใต้ (มีอารยธรรมอินคา แอสแตค ในประเทศแม็กซิโก) และริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (อารยธรรมที่เกาะครีด อาณาจักรกรีก โรมัน) เป็นต้น ประวัติศาสตร์สมัยโบราณสิ้นสุดลงเมื่ออาณาจักรโรมันแตกสลายลง เพราะถูกอนารยชนเผ่าเยอรมันในยุโรปกลางรุกรานและทำลายลงเมื่อปี ค.ศ. 476
2. สมัยกลาง เริ่มเมื่อชนชาติต่าง ๆ ในยุโรปฟื้นจากอำนาจการรุกรานของบรรดาอนารยชนเผ่าต่าง ๆ และเริ่มก่อตั้งเป็นแคว้นอาณาจักรต่าง ๆ นักประวัติศาสตร์เรียกยุคสมัยนี้ว่า ยุคมืด เพราะเป็นการหยุดชะงักของความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะวิทยาการของสมัยโบราณ สมัยนี้คริสต์ศาสนาเริ่มขยายอิธิพลคอรบคลุมไปทั่วยุโรป ศาสนจักรซึ่งมีศูนย์กลางที่องค์สันตะปาปามีอำนาจและอิทธิพลสูงด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมสมัยนี้เป็นระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism)
การสิ้นสุดของยุคกลางยังไม่เป็นที่ตกลงกันแน่ชัด เนื่องจากประวัติศาสตร์มีความคิดเห็นขัดแย้งกัน บางท่านถือเอาปี ค.ศ. 1453 เป็นปีที่สิ้นสุด เพราะอาณาจักรโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) ถูกพวกเตอร์กเข้าทำลาย แต่บางท่านถือว่าสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1492 เมื่อโคลัมบัสค้นพบโลกใหม่
3. สมัยใหม่     เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1500 จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ศาสนาคริสต์เริ่มเสื่อมอำนาจและเกิดการปฏิวัติความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อันนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เริ่มเสื่อมอำนาจลง จนเกิดการล้มระบบกษัตริย์ ระยะนี้อุดมการณ์ประชาธิปไตย เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็วเป็นผลให้เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยหลายแห่ง เช่น การปฏิวัติอเมริกา (ค.ศ. 1776) เกิดรัฐประชาชาติ (ประเทศ) เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมของโปรตุเกศ สเปน ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งต่างแย่งชิงและพยายามแผ่แสนยานุภาพทางทหารไปทั่วโลก จนในที่สุดนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 – 1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) ถือเป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
4. สมัยปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่หลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น (The Cold War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต โลกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ความขัดแย้งของสองอภิมหาอำนาจ นำไปสู่ความตึงเครียด จนในที่สุดเมื่อสหภาพโซเวียตได้เสื่อมสลายลงทำให้ภาวะสงครามเย็นสิ้นสุดลงด้วย โลกเข้าสู่การจัดระเบียบโลกใหม่ที่มีสหประชาชาติ และสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ รวมทั้งเหตุการณ์ที่สำคัญต่าง ๆ ในปัจจุบัน

การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ตะวันออก
     การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ตะวันออกจะแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ หรือศูนย์กลางอำนาจเป็นเกณฑ์ การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีน สามารถแบ่งออกได้เป็นประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ (2200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง (ค.ศ. 220 – ค.ศ. 1368) ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1911) และประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1911 – ปัจจุบัน)

การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์จีน
ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ
    ช่วงเวลาการเริ่มต้นจากรากฐานอารยธรรมจีน ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมหยางเซา (Yang Shao) วัฒนธรรมหลงซาน (Lung Shan) อันเป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาและโลหะสำริด ต่อมาเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ต่าง ๆ ได้ปกครองประเทศ ได้แก่ ราชวงศ์เซียะ ประมาณ 2,205 – 1,766 ปีก่อนคริสต์ศักราช และราชวงศ์ชางประมาณ 1,767 – 1,122 ปีก่อนคริสต์ศักราช ช่วงเวลาที่จีนเริ่มก่อตัวเป็นรัฐที่มีรากฐานการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ราชวงศ์โจว ประมาณ 1,122 – 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งแบ่งออกเป็นราชวงศ์โจวตะวันตก และราชวงศ์โจวตะวันออก เมื่อราชวงศ์โจวตะวันออกเสื่อมลง เกิดสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองรัฐต่าง ๆ ในที่สุดราชวงศ์ฉิน รวบรวมด่อตั้งราชวงศ์ช่วงเวลา 221 – 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช และสมัยราชวงศ์ฮั่น 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศง 220) เป็นสมัยที่รวมศูนย์อำนาจจนเป็นจักรพรรดิ
ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง
    อารยธรรมมีการปรับตัวเพื่อรับอิทธิพลต่างชาติเข้ามาผสมผสานในสังคมจีน ที่สำคัญคือพระพุทธศาสนา แระวัติศาสตร์จีนสมัยกลางเริ่มสมัยด้วยความวุ่นวายจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น เรียกว่าสมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 220 – ค.ศ. 589) เป็นช่วงเวลาการยึดครอบของชาวต่างชาติ การแบ่งแยกดินแดน ก่อนที่จะมีการรวมประเทศในสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ. 581 – ค.ศ. 618) สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – ค.ศ. 907) ช่วงเวลานี้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรืองสูงสุดก่อนที่จะแตกแยกอีกครั้ง ในสมัยห้าราชวงศ์กับสิบรัฐ (ค.ศ. 907 – ค.ศ. 979) ต่อมาสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 – ค.ศ. 1279) สามารถรวบรวมประเทศจีนได้อีกครั้ง และมีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม จนกระทั่งชาวมองโกลสามารถยึดครองประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1260 – ค.ศ. 1368)
ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่
    ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เริ่มใน ค.ศ. 1368 เมื่อชาวจีนขับไล่พวกมองโกลออกไป แล้วสถาปนาราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1644) ขึ้นปกครองประเทศจีน และถูกโค่นล้มอีกครั้งโดยราชวงศ์ซิง (ค.ศ. 1664 – ค.ศ. 1911) ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิงเป็นเวลาที่ประเทศจีนถูกคุกคามจากชาติตะวันตก และจีนพ่ายแพ้แก่อังกฤษในสงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839 – ค.ศ. 1842) จนสิ้นสุดราชวงศ์ใน ค.ศ. 1911
ประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน
    ประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบันเริ่มต้นใน ค.ศ. 1911 เมื่อจีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐโดย ดร.ซุน ยัตเซน (ค.ศ. 1911 – ค.ศ. 1949) ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์ได้ปฏิวัติและได้ปกครองจีน จึงเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1949 จนถึงปัจจุบัน

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
    การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นใช้พัฒนาการของอารยธรรมและช่วงเวลาตามศูนย์กลางอำนาจการปกครองเป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัย สาเหตุที่ใช้เกณฑ์การแบ่งยุคสมัยเนื่องจากจักรพรรดิที่เป็นประมุขของญี่ปุ่นมีเพียงราชวงศ์เดียวตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยอำนาจการปกครองในช่วงเวลาส่วนใหญ่อยู่ในตระกูลนักรบต่าง ๆ
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยโบราณ
    เมื่อมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในหมู่เกาะญี่ปุ่นจนถึงช่วงที่ญี่ปุ่นรบเอาอารยธรรมจากจีน แบ่งออกเป็นสมัยต่าง ๆ เช่น สมัยโจมอน (ประมาณ 7,000 - 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นวัฒนธรรมสมัยหินและเครื่องปั้นดินเผา สมัยยาโยย (ประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 300) เป็นสมัยโลหะและสังคมกสิกรรม และสมัยโคะฟุง (ค.ศ. 300 – ค.ศ. 600) เป็นสมัยของการก่อตั้งรัฐและจัดระเบียบทางสังคม
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยกลาง
    ญี่ปุ่นรับเอาอารยธรรมจีนและพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศ ประวัติศาสตร์สมัยกลางแบ่งได้เป็นสมัยอาสุกะ (คริสต์ศตวรรษที่ 7) สมัยนารา (ค.ศ. 710 – ค.ศ. 794) เมืองหลวงอยู่ที่เมืองนารา สมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 – ค.ศ. 1185) เมืองหลวงอยู่ที่เมืองเฮอัน (หรือปัจจุบันคือเมืองเกียวโต) ซึ่งจักรพรรดิมีอำนาจปกครอง สมัยคามากุระ (ค.ศ. 1185 – ค.ศ. 1333) เป็นสมัยที่โชกุนตระกูลมินาโมโตมีอำนาจปกครองประเทศ มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคามากุระ ต่อมาตระกูลอาชิกางะได้ โค่นล้มตระกูลมินาโมโตและเป็นโชกุนแทนที่ใน ค.ศ. 1333 โชกุนตระกูลาชิกางะมีศูนย์กลางการปกครองที่เมืองมูโรมาจิเขตเมืองเกียวโต สมัยของมูโรมาจิสิ้นสุดเมื่อเกิดสงครามระหว่างตระกูลต่าง ๆเป็นสงครามกลางเมืองใน ค.ศ. 1573
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่
    สมัยใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มในสมัยสงครามกลางเมืองหรือสมัยโมโมยามะ (ค.ศ. 1573 – ค.ศ. 1600) จนกระทั่งโตกุกาวา อิเอยาสุได้ยุติสงครามกลางเมือง และสถาปนาระบอบโชกุนตระกูลโตกุกาวา ศูนย์กลาง การปกครองที่เมืองเอโดะ ดังนั้นสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1600 – ค.ศ. 1868) เป็นช่วงที่ระบบศักดินาเจริญสูงสุด ค.ศ. 1868 โชกุนถวายอำนาจการปกครองคืนแก่จักรพรรดิ จากนั้นญี่ปุ่นได้เข้าสู่สมัยเมจิ (ค.ศ. 1868 – ค.ศ. 1912) ซึ่งเป็นสมัยของการปฏิรูปญี่ปุ่นให้ทันสมัยแบบตะวันตก ต่อมาสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1912 – ค.ศ. 1939) จนกระทั่งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 - ค.ศ. 1945) และสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1945 – ปัจจุบัน)

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย
    การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย แบ่งอกเป็น สมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยใหม่ แต่ละยุคสมัยจำมีการแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ที่มีอิทธิพลเหนืออินเดียขณะนั้น
ประวัติศาสตร์อินเดียโบราณ
    ประวัติศาสตร์อินเดียโบราณตั้งแต่สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยมีพวกดราวิเดียน เมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนกระทั่งอารยธรรมแห่งนี้ล่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสต์สักราชเมื่อชนชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและก่อตั้งอาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่การเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่แท้จริง มีการก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ เรียกว่า สมัยพระเวท (1,500 – 900 ปีก่อนคริสต์ศักราช) สมัยมหากาพย์ (900 – 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ต่อมาอินเดียรวมตัวกันในสมัยราชวงศ์มคธ (600 – 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และมีการรวมตัวอย่างแท้จริงในสมัยราชวงศ์เมารยะ (321 - 184 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระยะเวลานี้เป็นเวลาที่อินเดียเปิดเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ ต่อมาราชวงศ์เมารยะล่มสลายอินเดียก็เข้าสู่สมัยแห่งการแตกแยกและการรุกรานจากภายนอก จากพวกกรีกและพวกกุษาณะ รยะเวลานี้เป็นสมัยการผสมผสานทางวัฒนธรรมก่อนที่จะรวมเป็นจักรวรรดิได้อีกครั้งใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศ์คุปตะ (สมัยคุปตะ ค.ศ. 320 – ค.ศ. 535)
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง
    อินเดียเข้าสู่สมัยกลาง ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1525 สมัยนี้เป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมือง และการรุกรานจากต่างชาติ โดยพาะชาวมุสลิม สมัยกลางจึงเป็นสมัยที่อารยธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย สมัยกลางแบ่งได้เป็นสมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1200) และสมัยสุลต่านแห่งเดลลี (ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1526)
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่
    พวกโมกุลได้ตั้งราชวงศ์โมกุลถือว่าสมัยโมกุล (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1857) เป็นการเริ่มต้นสมัยใหม่จนกระทั่งอังกฤษเข้าปกครองอินเดียโดยตรงใน ค.ศ. 1585 จนถึง ค.ศ. 1947 อินเดียจึงได้รับเอกราชจากรปะเทศอังกฤษ ภายหลังได้รับเอกราชและถูกแบ่งออกเป็นประเทศต่าง ๆ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ (ค.ศ. 1971) ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมเปอร์เซียและวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในสังคมอินเดีย ขณะที่ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูได้ยึดมั่นในศาสนาของตนเองมากขึ้น และเกิดความแตกแยกในสังคมอินเดีย ดังนั้นประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ สามารถแบ่งได้เป็นสมัยราชวงศ์โมกุล (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1858) สมัยอังกฤษปกครองอินเดีย (ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1947)   อย่างไรก็ตามสมัยที่วัฒนธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอารยธรรมอินเดียเรียกรวมว่า สมัยมุสลิม (ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1858) หมายถึง รวมสมัยสุลต่านแห่งเดลฮีกับสมัยราชวงศ์โมกุล


เครดิต : http://jakkrit-history.blogspot.com/